Tag: เบี้ยประกัน

  • รู้ทันข้อดี-ข้อเสีย ประกัน Copay: จ่ายน้อยลง…แต่คิดให้ดีก่อนตัดสินใจ

    ประกันสุขภาพแบบ “Copayment” หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ร่วมจ่าย” นั่นเอง หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังงงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่? ทำไมเบี้ยประกันถึงถูกกว่า? แล้วมันมีข้อดีข้อเสียอะไรที่เราต้องรู้บ้าง? และที่สำคัญ ทำไมต้องรีบทำก่อนมีนาคม 2568?

    Copayment คืออะไร? ภาษาบ้านๆ เลยนะ

    Copayment ก็คือการที่เรา (ผู้เอาประกัน) “ร่วมจ่าย” ค่ารักษาพยาบาลกับบริษัทประกัน แทนที่บริษัทประกันจะจ่ายให้ทั้งหมด 100% เราก็มาช่วยกันออกส่วนหนึ่ง ตามเปอร์เซ็นต์ที่ตกลงกันไว้ เช่น 20% แปลว่า ทุกครั้งที่เราไปหาหมอ เราจ่าย 20% บริษัทประกันจ่าย 80% ง่ายๆ แค่นี้เลย

    ข้อดีของประกันสุขภาพ Copayment:

    • เบี้ยประกันถูกลง:เพราะเราช่วยบริษัทประกันจ่ายค่ารักษา เบี้ยประกันเลยถูกลงกว่าแผนที่บริษัทประกันจ่ายให้หมด ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเลือก Copay 20% เบี้ยประกันก็อาจจะถูกลงประมาณ 20% ได้เลย (อันนี้แล้วแต่แผนและบริษัทประกันด้วยนะ)
    • เหมาะกับคนมีประกันกลุ่มอยู่แล้ว: ใครที่มีประกันกลุ่มจากบริษัท หรือมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลอยู่แล้ว แต่อยากเพิ่มวงเงินความคุ้มครองให้สูงขึ้น Copayment ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่ต้องจ่ายเบี้ยแพงๆ เพื่อความคุ้มครองเต็ม 100%

    ข้อเสีย: จ่ายน้อยตอนต้น แต่..

    • เสียค่าใช้จ่าย 2 ส่วน คือผู้ทำประกันจะต้องจ่ายทั้งค่าเบี้ยประกัน และค่ารักษาส่วนหนึ่ง
    • อัตรา Copayment สูงอาจกระทบต่อเป้าหมายของประกันสุขภาพ หากผู้เอาประกันต้องจ่ายส่วนแบ่งที่สูงเกินไป อาจทำให้ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่จำเป็นได้3.
    • ต้องจ่าย 2 ต่อ: เราต้องจ่ายทั้ง “เบี้ยประกัน” (รายปี/รายเดือน) และ “ค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เราต้องร่วมจ่าย” ทุกครั้งที่ไปหาหมอ
    • Copay สูง ก็ต้องจ่ายเยอะ: ถ้าเราเลือก Copay เปอร์เซ็นต์สูงๆ เช่น 50% แล้วเกิดต้องผ่าตัดใหญ่ ค่ารักษาพยาบาลเป็นแสน เราก็ต้องจ่ายเองครึ่งแสนเลยนะ ข้อนี้สำคัญมาก ต้องดูให้ดีๆ
    • กระเป๋าฉีกได้: อันนี้ต่อจากข้อที่แล้วเลย ถ้าเกิดอุบัติเหตุ หรือป่วยหนัก ค่ารักษาพยาบาลสูงๆ Copay ที่เราต้องจ่ายก็สูงตามไปด้วย อาจจะต้องควักเงินเก็บออกมาจ่ายเลยนะ
    • กระทบแผนการเงิน: ถ้าเราต้องไปหาหมอบ่อยๆ หรือมีโรคประจำตัว ค่า Copay ที่ต้องจ่ายเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้แผนการเงินที่วางไว้รวนได้เหมือนกัน

    ตัวอย่างสถานการณ์

    • สถานการณ์ที่ 1: ป่วยเล็กน้อย ไปหาหมอเป็นหวัด ค่ารักษา 1,000 บาท ถ้า Copay 20% เราจ่ายแค่ 200 บาท (ประกันจ่าย 800 บาท) สบายๆ
    • สถานการณ์ที่ 2: อุบัติเหตุใหญ่ รถชน ต้องผ่าตัด ค่ารักษา 500,000 บาท ถ้า Copay 20% เราต้องจ่ายเอง 100,000 บาท โอ้โห…
    • สถานการณ์ที่ 3: มีเพดานค่าใช้จ่าย แผนประกัน Copay ที่ดีควรกำหนด “วงเงินสูงสุดที่เราต้องจ่ายต่อปี” เช่น สมมติว่าสูงสุด 50,000 บาท ถึงแม้ค่ารักษาจะ 500,000 บาท (Copay 20% คือ 100,000 บาท) แต่เราก็จ่ายแค่ 50,000 บาท ที่เหลือประกันจ่ายให้ อันนี้สำคัญมาก ต้องดูให้ดีก่อนเลือกแผน

    เทคนิคการเลือกแผน: เลือกวงเงินสูงไว้ก่อน ดีกว่า?

    • แนะนำให้เลือกแผนประกันสุขภาพที่มีวงเงินความคุ้มครองสูงๆ ไว้ก่อน ตั้งแต่แรก เพราะถ้าเราเลือกวงเงินต่ำไป แล้วภายหลังอยากเพิ่มวงเงิน มันจะกลายเป็นการทำ “สัญญาใหม่” ซึ่งถ้าทำหลังเดือนมีนาคม 2568 ก็จะติดเงื่อนไข Copayment แบบใหม่ไปด้วย
    • ลดวงเงินทีหลังได้: ถ้าเราเลือกวงเงินสูงไว้ก่อน แล้วรู้สึกว่าเบี้ยแพงไป เรายังสามารถ ลด วงเงินความคุ้มครองลงในภายหลังได้ (ตอนต่ออายุกรมธรรม์) โดยที่ยังคงเป็นสัญญาเดิม (และไม่ติด Copayment แบบใหม่ ถ้าเราทำประกันก่อนมีนาคม 2568)

    เงื่อนไข Copayment: อ่านให้ละเอียด!

    อันนี้ซับซ้อนหน่อย แต่สำคัญมาก! บางบริษัทประกันจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Copayment และสำคัญสุดๆ คือเงื่อนไขนี้กำลังจะเปลี่ยนไป:

    🚨 ทำไมต้องรีบทำประกันก่อนมีนาคม 2568? 🚨

    • เงื่อนไขใหม่: กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่เริ่มคุ้มครอง ตั้งแต่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป จะมีเงื่อนไข Copayment เพิ่มเติมที่เข้มงวดขึ้นหมายความว่า ถ้าเราซื้อประกันหลังวันนั้น เงื่อนไข Copay แบบใหม่นี้จะติดตัวเราไปตลอด
    • เงื่อนไขเดิม (ก่อนมีนาคม 2568) และผู้ที่ต่ออายุกรมธรรม์ต่อเนื่อง: ถ้าทำประกัน ก่อน 1 มีนาคม 2568 และต่ออายุกรมธรรม์อย่างต่อเนื่อง จะไม่มีเงื่อนไข Copayment ที่กล่าวถึงข้างล่างนี้ (หรือถ้ามี ก็จะเป็นเงื่อนไขเดิมที่อาจจะผ่อนปรนกว่า)
    • เงื่อนไขใหม่ (หลังมีนาคม 2568) มีอะไรบ้าง?
      • ป่วยเล็กน้อยบ่อยๆ: ถ้าเคลมค่ารักษาพยาบาลเล็กๆ น้อยๆ บ่อยเกินไป (เกิน 3 ครั้งต่อปี) และ ค่าเคลมรวมสูงเกินกว่าเบี้ยประกัน (เกิน 200% ของเบี้ย) ในปีถัดไปเราอาจจะต้อง Copay มากขึ้น (30%)
      • เจ็บป่วยทั่วไป (ไม่ร้ายแรง): ถ้าเคลมบ่อยเกินไป และเคลมเยอะ แต่ไม่นับรวมการผ่าตัดใหญ่และโรคร้ายแรง (มากกว่า 400% ของเบี้ย) อาจถูกปรับเพิ่ม Copay ได้
      • เคลมบ่อยทั้งเล็กน้อยและเจ็บป่วยทั่วไป(ที่ไม่ร้ายแรง): ถ้าเข้าเงื่อนไขทั้งข้อแรก copay อาจถูกปรับเพิ่มสูงถึง 50% ในปีถัดไปได้

    สรุป: Copay เหมาะกับใคร?

    • คนที่อยากประหยัดเบี้ยประกัน
    • คนที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ค่อยป่วย
    • คนที่มีเงินสำรองเผื่อไว้จ่าย Copay ได้
    • คนที่มีประกันกลุ่ม/สวัสดิการอื่นอยู่แล้ว แต่อยากเพิ่มวงเงิน
    • คนที่ไม่อยากเจอเงื่อนไข Copayment ใหม่ที่เข้มงวดขึ้น! (ต้องรีบทำก่อนมีนาคม 2568)

    ก่อนตัดสินใจอย่าลืม!

    • เปรียบเทียบแผน Copayment จากหลายๆ บริษัท
    • อ่านเงื่อนไขให้ละเอียด โดยเฉพาะเรื่อง “วงเงินสูงสุดที่ต้องจ่าย” และ “เงื่อนไขการปรับ Copay”
    • ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง ว่าเรามีโอกาสป่วยบ่อยแค่ไหน? มีเงินสำรองพอไหม?