Author: tripetkk@gmail.com

  • เปิดโลกการเรียนรู้ยุคใหม่ Khan Academy x ChatGPT: วางแผนการเรียนรู้ทุกสกิลง่ายๆ ภายใน 30 วัน!

    สวัสดีครับทุกคน! วันนี้ผมมีเรื่องน่าตื่นเต้นมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการเรียนรู้และการพัฒนาตัวเองครับ เชื่อว่าหลายคนคงเคยรู้สึกว่าอยากเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน หรือบางทีก็รู้สึกว่าการเรียนรู้มันยาก ผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นครับ

    แล้วถ้ามีตัวช่วยที่จะมาออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ให้เรา แถมยังคอยตอบคำถามและให้คำแนะนำเราได้ตลอดเวลาล่ะ จะดีแค่ไหน

    หลายคนคงรู้จัก Khan Academy ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ฟรี ๆ ระดับโลก มีวิชาให้เลือกเรียนมากมาย และสามารถสอนทุกอย่างดูเข้าใจง่าย ได้มาอยู่ใน ChatGPT แล้วทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องง่ายเข้าไปอีก เราสามารถเรียนรู้ทักษะอะไรก็ได้ที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรม การตลาด หรือแม้แต่การวาดรูป โดยมี ChatGPT เป็นเหมือนโค้ชส่วนตัวที่คอยแนะนำและสนับสนุนเราตลอดเส้นทาง แถมทั้งหมดนี้ยังฟรีอีกด้วย!

    ลองนึกภาพนะครับ สมมติว่าเราอยากเรียนรู้การเขียนโปรแกรม แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน อาจจะเคยลองเรียนรู้ด้วยตัวเองจากวิดีโอหรือบทความ แต่ก็อาจจะรู้สึกว่ามันยากและไม่เข้าใจ หรืออาจจะเรียนไปได้ไม่นานก็เลิกเพราะรู้สึกเบื่อ แต่ถ้ามี ChatGPT เป็นตัวช่วย มันจะสามารถสร้างแผนการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเราได้ โดยเริ่มจากพื้นฐาน แล้วค่อย ๆ เพิ่มความยากขึ้นเรื่อย ๆ และยังคอยตอบคำถามของเราได้ตลอดเวลา เหมือนมีครูสอนพิเศษส่วนตัวที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด

    แล้ว Khan Academy กับ ChatGPT ทำงานร่วมกันยังไง ง่าย ๆ ครับ เพียงแค่เข้าไปที่ ChatGPT แล้วค้นหา “Tutor me” หรือคลิกที่ลิงก์นี้: https://chatgpt.com/g/g-hRCqiqVlM-tutor-me จากนั้นก็สามารถบอก “Tutor me” ได้ว่าอยากเรียนรู้อะไร เช่น “ฉันอยากเรียนรู้การเขียนโปรแกรม Python ใน 30 วัน”

    Prompt คำสั่งสำหรับใช้กับ Khan Academy

    “ฉันอยากเรียนรู้ [ชื่อทักษะ] ใน 30 วัน โปรดทำตัวเหมือนโค้ชผู้เชี่ยวชาญใน [ชื่อทักษะ] และสร้างแผนการเรียนรู้โดยละเอียดที่จะช่วยให้ฉันมีความเชี่ยวชาญในทักษะนี้ แผนควรประกอบด้วยสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน แบบฝึกหัด และเป้าหมายสำหรับแต่ละวัน โดยเพิ่มความยากขึ้นเรื่อยๆ แผนของแต่ละวันควรทำได้ภายใน [เวลาที่กำหนดต่อวัน] และภายในสิ้นสุด 30 วัน ฉันควรมีความเข้าใจพื้นฐานที่เกี่ยวกับ [ชื่อทักษะ] นำเสนอข้อมูลทั้งหมดในรูปแบบตารางเพื่อให้เข้าใจง่าย”

    ChatGPT ก็จะทำหน้าที่เป็นโค้ชของเรา สร้างแผนการเรียนรู้โดยละเอียด แบ่งเป็นงานประจำวัน แบบฝึกหัด และเป้าหมาย โดยจะปรับระดับความยากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้เราค่อย ๆ พัฒนาทักษะไปทีละขั้น

    สิ่งที่พิเศษคือ ChatGPT ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยวางแผน แต่ยังเป็นเพื่อนคู่คิดของเราด้วย เราสามารถถามคำถาม ขอคำแนะนำ หรือแม้แต่ระบายความรู้สึกท้อแท้กับมันได้ และมันก็จะคอยให้กำลังใจและช่วยเราแก้ไขปัญหา ทำให้การเรียนรู้ของเราไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป 555

    เรายังสามารถขอแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมจาก “Tutor me” ได้ เช่น บทความ วิดีโอ หรือเว็บไซต์ เพื่อให้เราได้ศึกษาเพิ่มเติมในหัวข้อที่เราสนใจ และเมื่อเราเรียนรู้ไปได้สักพัก เราก็สามารถพูดคุยกับ “Tutor me” เพื่อทบทวนความรู้ หรือถามคำถามที่เรายังสงสัยได้อีกด้วย

    การมี Khan Academy และ ChatGPT เป็นตัวช่วย การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป มันเหมือนกับการมีเพื่อนคู่คิดที่คอยสนับสนุนและให้กำลังใจเราตลอดเวลา ทำให้เรามีความสุขกับการเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มศักยภาพ ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ แล้วจะพบว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้นกว่าที่คิด

  • รู้ทันข้อดี-ข้อเสีย ประกัน Copay: จ่ายน้อยลง…แต่คิดให้ดีก่อนตัดสินใจ

    ประกันสุขภาพแบบ “Copayment” หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “ร่วมจ่าย” นั่นเอง หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังงงๆ ว่ามันคืออะไรกันแน่? ทำไมเบี้ยประกันถึงถูกกว่า? แล้วมันมีข้อดีข้อเสียอะไรที่เราต้องรู้บ้าง? และที่สำคัญ ทำไมต้องรีบทำก่อนมีนาคม 2568?

    Copayment คืออะไร? ภาษาบ้านๆ เลยนะ

    Copayment ก็คือการที่เรา (ผู้เอาประกัน) “ร่วมจ่าย” ค่ารักษาพยาบาลกับบริษัทประกัน แทนที่บริษัทประกันจะจ่ายให้ทั้งหมด 100% เราก็มาช่วยกันออกส่วนหนึ่ง ตามเปอร์เซ็นต์ที่ตกลงกันไว้ เช่น 20% แปลว่า ทุกครั้งที่เราไปหาหมอ เราจ่าย 20% บริษัทประกันจ่าย 80% ง่ายๆ แค่นี้เลย

    ข้อดีของประกันสุขภาพ Copayment:

    • เบี้ยประกันถูกลง:เพราะเราช่วยบริษัทประกันจ่ายค่ารักษา เบี้ยประกันเลยถูกลงกว่าแผนที่บริษัทประกันจ่ายให้หมด ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเลือก Copay 20% เบี้ยประกันก็อาจจะถูกลงประมาณ 20% ได้เลย (อันนี้แล้วแต่แผนและบริษัทประกันด้วยนะ)
    • เหมาะกับคนมีประกันกลุ่มอยู่แล้ว: ใครที่มีประกันกลุ่มจากบริษัท หรือมีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลอยู่แล้ว แต่อยากเพิ่มวงเงินความคุ้มครองให้สูงขึ้น Copayment ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะไม่ต้องจ่ายเบี้ยแพงๆ เพื่อความคุ้มครองเต็ม 100%

    ข้อเสีย: จ่ายน้อยตอนต้น แต่..

    • เสียค่าใช้จ่าย 2 ส่วน คือผู้ทำประกันจะต้องจ่ายทั้งค่าเบี้ยประกัน และค่ารักษาส่วนหนึ่ง
    • อัตรา Copayment สูงอาจกระทบต่อเป้าหมายของประกันสุขภาพ หากผู้เอาประกันต้องจ่ายส่วนแบ่งที่สูงเกินไป อาจทำให้ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่จำเป็นได้3.
    • ต้องจ่าย 2 ต่อ: เราต้องจ่ายทั้ง “เบี้ยประกัน” (รายปี/รายเดือน) และ “ค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เราต้องร่วมจ่าย” ทุกครั้งที่ไปหาหมอ
    • Copay สูง ก็ต้องจ่ายเยอะ: ถ้าเราเลือก Copay เปอร์เซ็นต์สูงๆ เช่น 50% แล้วเกิดต้องผ่าตัดใหญ่ ค่ารักษาพยาบาลเป็นแสน เราก็ต้องจ่ายเองครึ่งแสนเลยนะ ข้อนี้สำคัญมาก ต้องดูให้ดีๆ
    • กระเป๋าฉีกได้: อันนี้ต่อจากข้อที่แล้วเลย ถ้าเกิดอุบัติเหตุ หรือป่วยหนัก ค่ารักษาพยาบาลสูงๆ Copay ที่เราต้องจ่ายก็สูงตามไปด้วย อาจจะต้องควักเงินเก็บออกมาจ่ายเลยนะ
    • กระทบแผนการเงิน: ถ้าเราต้องไปหาหมอบ่อยๆ หรือมีโรคประจำตัว ค่า Copay ที่ต้องจ่ายเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้แผนการเงินที่วางไว้รวนได้เหมือนกัน

    ตัวอย่างสถานการณ์

    • สถานการณ์ที่ 1: ป่วยเล็กน้อย ไปหาหมอเป็นหวัด ค่ารักษา 1,000 บาท ถ้า Copay 20% เราจ่ายแค่ 200 บาท (ประกันจ่าย 800 บาท) สบายๆ
    • สถานการณ์ที่ 2: อุบัติเหตุใหญ่ รถชน ต้องผ่าตัด ค่ารักษา 500,000 บาท ถ้า Copay 20% เราต้องจ่ายเอง 100,000 บาท โอ้โห…
    • สถานการณ์ที่ 3: มีเพดานค่าใช้จ่าย แผนประกัน Copay ที่ดีควรกำหนด “วงเงินสูงสุดที่เราต้องจ่ายต่อปี” เช่น สมมติว่าสูงสุด 50,000 บาท ถึงแม้ค่ารักษาจะ 500,000 บาท (Copay 20% คือ 100,000 บาท) แต่เราก็จ่ายแค่ 50,000 บาท ที่เหลือประกันจ่ายให้ อันนี้สำคัญมาก ต้องดูให้ดีก่อนเลือกแผน

    เทคนิคการเลือกแผน: เลือกวงเงินสูงไว้ก่อน ดีกว่า?

    • แนะนำให้เลือกแผนประกันสุขภาพที่มีวงเงินความคุ้มครองสูงๆ ไว้ก่อน ตั้งแต่แรก เพราะถ้าเราเลือกวงเงินต่ำไป แล้วภายหลังอยากเพิ่มวงเงิน มันจะกลายเป็นการทำ “สัญญาใหม่” ซึ่งถ้าทำหลังเดือนมีนาคม 2568 ก็จะติดเงื่อนไข Copayment แบบใหม่ไปด้วย
    • ลดวงเงินทีหลังได้: ถ้าเราเลือกวงเงินสูงไว้ก่อน แล้วรู้สึกว่าเบี้ยแพงไป เรายังสามารถ ลด วงเงินความคุ้มครองลงในภายหลังได้ (ตอนต่ออายุกรมธรรม์) โดยที่ยังคงเป็นสัญญาเดิม (และไม่ติด Copayment แบบใหม่ ถ้าเราทำประกันก่อนมีนาคม 2568)

    เงื่อนไข Copayment: อ่านให้ละเอียด!

    อันนี้ซับซ้อนหน่อย แต่สำคัญมาก! บางบริษัทประกันจะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Copayment และสำคัญสุดๆ คือเงื่อนไขนี้กำลังจะเปลี่ยนไป:

    🚨 ทำไมต้องรีบทำประกันก่อนมีนาคม 2568? 🚨

    • เงื่อนไขใหม่: กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่เริ่มคุ้มครอง ตั้งแต่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป จะมีเงื่อนไข Copayment เพิ่มเติมที่เข้มงวดขึ้นหมายความว่า ถ้าเราซื้อประกันหลังวันนั้น เงื่อนไข Copay แบบใหม่นี้จะติดตัวเราไปตลอด
    • เงื่อนไขเดิม (ก่อนมีนาคม 2568) และผู้ที่ต่ออายุกรมธรรม์ต่อเนื่อง: ถ้าทำประกัน ก่อน 1 มีนาคม 2568 และต่ออายุกรมธรรม์อย่างต่อเนื่อง จะไม่มีเงื่อนไข Copayment ที่กล่าวถึงข้างล่างนี้ (หรือถ้ามี ก็จะเป็นเงื่อนไขเดิมที่อาจจะผ่อนปรนกว่า)
    • เงื่อนไขใหม่ (หลังมีนาคม 2568) มีอะไรบ้าง?
      • ป่วยเล็กน้อยบ่อยๆ: ถ้าเคลมค่ารักษาพยาบาลเล็กๆ น้อยๆ บ่อยเกินไป (เกิน 3 ครั้งต่อปี) และ ค่าเคลมรวมสูงเกินกว่าเบี้ยประกัน (เกิน 200% ของเบี้ย) ในปีถัดไปเราอาจจะต้อง Copay มากขึ้น (30%)
      • เจ็บป่วยทั่วไป (ไม่ร้ายแรง): ถ้าเคลมบ่อยเกินไป และเคลมเยอะ แต่ไม่นับรวมการผ่าตัดใหญ่และโรคร้ายแรง (มากกว่า 400% ของเบี้ย) อาจถูกปรับเพิ่ม Copay ได้
      • เคลมบ่อยทั้งเล็กน้อยและเจ็บป่วยทั่วไป(ที่ไม่ร้ายแรง): ถ้าเข้าเงื่อนไขทั้งข้อแรก copay อาจถูกปรับเพิ่มสูงถึง 50% ในปีถัดไปได้

    สรุป: Copay เหมาะกับใคร?

    • คนที่อยากประหยัดเบี้ยประกัน
    • คนที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ค่อยป่วย
    • คนที่มีเงินสำรองเผื่อไว้จ่าย Copay ได้
    • คนที่มีประกันกลุ่ม/สวัสดิการอื่นอยู่แล้ว แต่อยากเพิ่มวงเงิน
    • คนที่ไม่อยากเจอเงื่อนไข Copayment ใหม่ที่เข้มงวดขึ้น! (ต้องรีบทำก่อนมีนาคม 2568)

    ก่อนตัดสินใจอย่าลืม!

    • เปรียบเทียบแผน Copayment จากหลายๆ บริษัท
    • อ่านเงื่อนไขให้ละเอียด โดยเฉพาะเรื่อง “วงเงินสูงสุดที่ต้องจ่าย” และ “เงื่อนไขการปรับ Copay”
    • ประเมินความเสี่ยงของตัวเอง ว่าเรามีโอกาสป่วยบ่อยแค่ไหน? มีเงินสำรองพอไหม?